แรงบันดาลใจ ใน Behind The Song
ยืนไม่ไหว
วันที่ชีวิตยังอยู่ในช่วงที่เรียกว่าไร้เดียงสา เคยสงสัยว่าทำไมเวลาที่คนอกหักจากความรัก เค้าต้องร้องไห้ฟูมฟายกันนักนะ
ประโยคที่นางเอก MV มักจะพูดอยู่บ่อย ๆ “ฉันจะอยู่ได้ยังไงถ้าไม่มีเธอ” เป็นประโยคที่ทำให้เอิ้นเกิดคำถามในใจว่าแล้วชีวิตก่อนหน้านี้ไม่มีใครเราก็ยังอยู่ได้ จะแปลกอะไรถ้ากลับไปวันที่ไม่มีใครเหมือนเดิม จนวันนึงเอิ้นก็พบคำตอบที่แท้จริงว่าไม่ใช่ว่าเราจะอยู่ไม่ได้
แค่ตั้งแต่วันที่ใครบางคนเดินจากไปก็ไม่มีวันไหนที่เราจะยิ้มได้เหมือนเดิม
แรงบันดาลใจ
หลังจากฟังเพลง “เลือกเป็นคนที่รักเธอ” รอบที่ 30 ได้มั้งที่ฟังไปเรื่อยๆก็เพื่อให้แน่ใจว่ามันเป็นเพลงที่เอิ้นเขียนขึ้นมาจริงๆ แล้วเสียงที่เอิ้นได้ยินเป็นเสียงของ พี่แอน ธิติมาจริงๆ เพราะครั้งนึงตอนที่เอิ้นยังเป็นเด็กนักเรียน ร.ร.เลยพิทยาคม เด็กที่มีความฝันว่าอยากเป็นนักแต่งเพลง เด็กที่ยามว่างชอบนั่งฟังเพลงที่พี่แอนร้อง เด็กที่บอกกับตัวเองว่าสักวันฉันจะเขียนเพลงให้เจ้าของเสียงใสๆคนนี้ร้องให้ได้ แล้ววันนี้ทุกอย่าก็เป็นความจริง
“ไม่น่าเชื่อเลยว่าแรงบันดาลใจเล็กๆจะทำให้เอิ้นมีวันนี้”
ความดีไม่เคยหายไป
ในช่วงเย็นของวันนึงเอิ้นได้มีโอกาสคุยโทรศัพท์กับคนหลายคน ซึ่งคนเหล่านั้นล้วนแล้วแต่ดีกับเอิ้นทั้งสิ้น แล้วคนสุดท้ายที่ปิดฉากการสนทนาก็คือ “คุณแม่” คำถามที่เกิดขึ้นในใจหลังจากวางโทรศัพท์คือคนเหล่านั้นเค้าจะรู้มั้ยว่า “สิ่งดีๆที่เค้ามอบให้เอิ้น เอิ้นยังเก็บเอาไว้ในหัวใจ รอเพียงแต่ว่าวันไหนจะมีโอกาสได้ตอบแทนเท่านั้นเอง”
อยากจะมีใครให้รัก
ในช่วงเวลาที่ใครต่อใครคงกำลังหลับฝันหวานแต่เอิ้นกำลังนั่งคุยโทรศัพท์กับเพื่อนผู้ชายคนนึง(เพื่อนจริงๆ) เพราะเค้ากำลังเล่าชีวิตรักที่มีความสุขมากๆระหว่างเค้ากับแฟนสาวให้เอิ้นฟัง ทั้งที่สิ่งที่เอิ้นรู้สึกอยู่เสมอตั้งแต่รู้จักเพื่อนคนนี้มาคือ เค้าช่างเป็นคนของประชาชน เป็นนักกิจกรรมตัวยงที่คงหาผู้หญิงคนไหนเข้าใจและอยู่ด้วยได้ยาก แต่วันนี้เค้าได้เจอผู้หญิงคนที่เกิดมาเพื่อกันและกัน คนที่ชีวิตเค้าได้เติมเต็มส่วนที่ขาดหาย แต่สิ่งที่เราสองคนรู้สึกเหมือนกันคือ “ทุกคนมีคู่แท้เป็นของตัวเอง เค้าโชคดีที่วันนี้ได้เจอ แต่เอิ้นสิโชคร้ายจังที่ยังไม่เจอ”
เสียใจไม่ต่างกัน
เอิ้นมีโอกาสได้นั่งฟังรับฟังเรื่องราวความรักของน้องคนนึงที่มาช่วยงานใน project นี้ หลังจากฟังจบก็รู้สึกอินกับเรื่องนี้มาก เพราะเอิ้นเคยคิดอยู่เหมือนกันว่า เวลาที่คนเราเลิกรากันไป ทำไมคนที่บอกเลิกต้องถูกมองว่าเป็นคนผิดอยู่เสมอ
“ทำไมคนถูกบอกเลิกเท่านั้นที่น่าเห็นใจ ทั้งที่ความจริงต่างคนก็ต่างเสียใจเหมือนๆกัน”
ไม่เคยจะห่างกัน
ตอนสมัยที่เรียนคณะวิศวะ คณะที่มีนักศึกษาผู้หญิงแค่18คนจากทั้งหมด 200 คน 1 ปีนั้นทำให้เอิ้นได้รู้จักคำว่าธรรมชาติของผู้ชายมากขึ้น ธรรมชาติอย่างนึงที่เจอบ่อยก็คือ เห็นผู้หญิงหน้าตาดีหน่อยไม่ได้เป็นต้องมองตามแล้วแอบส่งตาหวานทุกรายไป แต่ทุกคนก็จะบอกว่าแค่มองแต่ไม่คิดอะไร เพราะในใจรู้อยู่แล้วว่ารักใคร ยิ่งเวลาที่อยู่ไกลคนรัก ผู้ชายก็ทำตัวเป็นแมวไม่อยู่หนูร่าเริงเป็นธรรมดา “แต่ยิ่งไกลเท่าไหร่ ยิ่งนานเท่าไรที่ไม่เห็นหน้า ยิ่งคิดถึงก็ยิ่งรู้ว่ารักมากแค่ไหน” (จะเชื่อดีมั้ยเนี่ย!)
เพื่อนรัก..รักเพื่อน
เอิ้นเป็นคนนึงที่ชอบดูหนัง และแน่นอนว่าหนังแนวที่โปรดปรานคงไม่พ้น Romantic comedy เพราะนอกจากจะรู้สึกว่าได้ผ่อนคลายอารมณ์แล้วยังได้ concept มาเขียนเพลงอีกต่างหาก แล้วเรื่อง “เพื่อนสนิท”ก็เป็นหนังอีกเรื่องที่ทำให้เอิ้นรู้สึกแบบนั้น ในระหว่างที่นั่งดูเอิ้นคว้าสมุดโน๊ตกับปากกาจดตามคำพูดและความรู้สึกของพระเอก-นางเอกแทบไม่ทัน (ทั้งที่โรงหนังมืดสนิท) เพราะมันช่างเป็นธรรมชาติของคำว่าแอบรัก(เพื่อน) จริงๆ
รักก็คือรัก/เกลียดอย่างไหนได้อย่างนั้น
ครั้งนี้เป็นโอกาสดีๆอีกครั้งที่คนบ้าละครอย่างเอิ้นได้เขียนเพลงประกอบละคร หลังจากเคยเขียน“นิราศสองภพ”มาแล้ว แต่คราวนี้เป็นเรื่องราวความรักของหนุ่มสาวยุคปัจจุบัน “ฟ้าสวยเลนส์ใส” สิ่งที่เอิ้นรู้สึกได้จากการอ่านบทละครเรื่องนี้คือ
คนเราไม่สามารถปฏิเสธความรู้สึกภายในใจตัวเองได้ ต่อให้เราพยายามวิ่งหนีไปไกลแต่ไหนก็ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะยังไงหัวใจก็ติดตัวเราไปทุกที่อยู่ดี
เธอเท่านั้น
มีคนเคยบอกกับเอิ้นว่าผู้หญิงกับผู้ชายไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นพี่น้องกัน เกือบเชื่อแล้วเชียวถ้าไม้ได้พบกับพี่ชายคนนี้ คนที่ทำให้คำว่าสายเลือดไม่มีความหมาย คนที่มีเพลงพี่ชายที่แสนดีเป็นเพลงประจำกายที่ได้จากน้องสาวคนนี้ และตอนนี้พี่ชายของเอิ้นก็มีความรัก และดูแลความรักนั้นด้วยหัวใจอย่างดีตลอดมา จนไม่รู้ว่าอะไรคือสื่งที่จะทำให้ความรักนี้เปลี่ยนแปลงไปได้ คำถามนี้เหมือนจะมีคำตอบอยู่มากมาย แต่สำหรับผู้ชายคนนี้กลับมีคำตอบเดียว คือ “คนที่เค้ารักคนเดียวเท่านั้นที่สามารถเปลี่ยนแปลงทุกอย่างของคำว่ารักได้”
วันที่เธอไม่สบาย
เป็นที่รู้กันว่ามีอยู่ 2 สถานที่คนปกติไม่อยากไป และไม่อยากเกี่ยวข้องนั้นคือ โรงพยาบาลกับโรงพัก แต่เอิ้นเองกลับเป็นคนที่มีชีวิตอยู่ที่นี้ “โรงพยาบาล” ยังจำได้ว่าวันแรกของการเป็นแพทย์ฝึกหัดปีสุดท้ายประจำห้องฉุกเฉินมันช่างเหนื่อยเหลือเกิน กับการที่ต้องเจอกับคนมากมายที่แบกความเจ็บป่วยมาให้เราช่วยรักษา และแอบน้อยใจเล็กว่าเค้าคงลืมเราไปในวันที่หายป่วย จนต้องกลับ ไปนั่งถามตัวเองว่า เราจะต้องทำยังให้มีความสุขกับทางเดินชีวิตสายนี้ที่เราเป็นคนเลือกเอง จนกระทั่งวันนึงมีผู้ป่วยหญิงไทยอายุ65ปีมาด้วยอาการปวดท้อง การพบกันครั้งแรกหน้าตาและท่าทางของคุณป้าบอกให้เอิ้นรู้ได้เลยว่ากำลังเป็นทุกข์ จากการซักประวัติและตรวจร่างกายวินิจฉัยได้ว่าคุณป้าเป็นนิ่วท่อไต เอิ้นไม่มีความสามารถพอที่จะเอาเจ้าก้อนนิ่วตัวปัญหาออกให้คุณป้าได้หรอกนะคะ สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดในวันนั้นก็คือพูดคุยให้คุณป้าเข้าใจว่าเป็นอะไร แนะนำว่าควรปฏิบัติตัวอย่างไรในระหว่างที่รอรับการผ่าตัดพร้อมกับรอยยิ้ม แล้วคุณป้าก็กลับไปรอผ่าตัดที่บ้านด้วยรอยยิ้มเช่นกัน และนั้นคือคำตอบของเอิ้น ความสุขในการเป็นหมอของเอิ้นมันคือรอยยิ้มของคนไข้นี่เอง วันนั้นเอิ้นเป็นหมอที่ล้มเหลวในการรักษาร่างกายแต่เอิ้นถือว่าประสบณ์ความสำเร็จในการรักษาใจคนไข้ไว้ได้
แต่เอิ้นสัญญากับตัวเองว่าสัก ว่าเอิ้นจะต้องเป็นหมอที่รักษาได้ทั้งกายและใจ
คิดถึงคนไกล
วันที่สูญเสียคุณพ่อไปนอกจากความเสียใจแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นในใจคือความรับผิดชอบ รับผิดชอบในชีวิตตัวเองและหัวใจดวงเดียวที่เหลืออยู่นั้นคือ”คุณแม่”นี้ก็เป็นเหตุผลสำคัญอีกอย่างที่ทำให้เอิ้นเลือกที่จะมาเข้ามหาวิทยาลัยในกรุงเทพ เพราะคิดว่าที่นี้คือมหาวิทยาลัยชีวิตที่ดีที่สุด
แต่ช่วงแรกของการไกลบ้าน ไกลคุณแม่มันช่างทรมานเหลือเกิน ทรมานจากความเหงาที่อยู่ท่ามกลางความวุ่นวาย ทรมานจากความคิดถึงคนที่อยู่ไกลทรมานที่ต้องผ่านปัญหาทุกอย่างไปให้ได้ด้วยตัวเอง
แล้ววันนี้ความทรมานต่างๆมันได้กลับกลายเป็นความเข็มแข็งและประสบการณ์ที่ล้ำค่าที่ไม่ว่าวันข้างหน้าเอิ้นและคุณแม่จะอยู่ที่ไหนเราก็จะอยู่ได้อย่างมีความสุข