“เพลงเจ้าหญิงของเรา”
เพลงนี้เอิ้นเกิดแรงบรรดาลใจจากการที่ได้ดู ภาพพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระพี่นาง โดยเฉพาะโครงการแพทย์อาสาพัฒนาชนบท และเป็นวิชาชีพที่เราเป็นอยู่ทำให้ยิ่งดูยิ่งทราบซึ้งใน ความเสียสละของท่าน จึงเขียนเพลงนี้ขึ้นมา และเชิญชวนเพื่อน ๆ มาร่วมในการถ่ายทอดเพลง เลยได้พี่แอน ธิติมา นักร้องคู่บุญของเอิ้นมาช่วยร้อง และได้พี่ george วารุศ รินทรานุกูล มาเรียบเรียงเสียงประสานให้ หวังแค่เพียงว่า อยากให้ทุกคนได้ยินเพลงนี้ แล้วระลึกถึงความเสียลสะของพระองค์ท่าน
เจ้าหญิงของเรา
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง ฉบับที่ 1 เรื่อง สมเด็จพระพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธวาสราชนครินทร์ ทรงประชวรและต้องประทับรักษาพระองค์ ณ โรงพยาบาลศิริราช เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2550 ที่ผ่านมาหัวใจของพวกเราชาวไทยทุกคนก็ดูเหมือนจะเริ่มห่อเหี่ยว หลายคนเดินทางมาเฝ้าพระอาการที่บริเวณหน้าอาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาลศิริราช หลายคนติดตามข่าวทางวิทยุ หลายคนเฝ้ารอคอยข่าวพระราชสำนักทางโทรทัศน์ เชื่อค่ะว่าทุกคนทราบว่าในช่วงเวลาที่ท่านมีพระพลานามัยแข็งแรงท่านได้ปฏิบัติ พระราชกรณียกิจมากมาย หลายคนรู้เท่านั้น หลายคนรู้แต่ไม่รู้ว่าอะไรบ้าง หลายคนรู้ว่ามีเรื่องอะไรบ้างแต่จำได้บ้างเพียงบางอย่าง หลายคนรู้หลายอย่างแต่ไม่รู้ว่าสำคัญแค่ไหน แต่ก็มีหลายคนที่ทราบซึ้งและจะตราตรึงไปตลอดชีวิต ในที่สุดแถลงการณ์สำนักพระราชวังฉบับที่38 ก็มาถึง ทางคณะแพทย์ที่ถวายการรักษารายงานว่า พระอาการโดยรวมทรุดลง ไม่รู้สึกพระองค์ หายพระทัยอ่อนลง เท่านั้นก็ทำให้หัวใจของหลายล้านคนเต้นช้าลงไปทันที ในที่สุดก็มีแถลงการณ์การสิ้นพระชนม์ของพระองค์ นับจากนั้น หน้าจอโทรทัศน์ทุกช่องในแผ่นดินนี้ก็กลายเป็นสีดำ รายการทุก ๆ รายการก็ปรับเปลี่ยนมาเป็นการถ่ายทอดพระราชกรณียกิจของท่านในขณะมีพระชนชีพอยู่ ไม่น่าเชื่อเลยว่า รายการโทรทัศน์เกือบทุกรายการทุกช่องสัญญาณ ถ่ายทอดเกือบ 24
ชั่วโมงกลับไม่เพียงพอต่อการถ่ายทอดให้คนไทยได้ทราบว่า ตลอดพระชนชีพของพระองค์ท่าน ท่านได้ทำอะไรเพื่อพวกเราชาวไทยมากมายขนาดไหน วันนึงในห้องพัก ขณะที่เอิ้นก็กำลังนั่งดูสารคดีเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง “เอิ้น เอิ้น” เสียงเพื่อนสนิทเอิ้นดังขึ้น “ฉันมีเรื่องประทับใจเกี่ยวกับสมเด็จท่านจะเล่าให้ฟัง พอดีเมื่อคืนดูรายการโทรทัศน์รายการหนึ่ง เค้าไปถ่ายทำเรื่องราวสมัยที่สมเด็จท่านทรงเป็นอาจารย์สอนวิชาฝรั่งเศสที่จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย ไม่น่าเชื่อเลยว่าทางมหาวิทยาลัยยังเก็บทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เกี่ยวข้องกับสมเด็จท่านไว้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ อย่างเช่นห้องทรงงาน อุปกรณ์การสอนต่าง ๆ ดูแล้วทำให้รู้สึกราวกับว่าวันนี้ท่านก็ยังทรงเป็นพระอาจารย์อยู่ที่นั้น แต่สิ่งที่ทำให้ฉันอมยิ้มก็คือตอนที่พิธีกรไปสัมภาษณ์แม่บ้านที่ทำหน้าที่ดูแลสถานที่และดูแลทำความสะอาดซึ่งเป็นคนที่เคยถวายการรับใช้สมเด็จ เธอเล่าว่า”สมเด็จท่านมีพระเมตตากับทุกคน แม้กระทั่งแม่บ้านดูแลความสะอาดอย่างป้า “ มีวันนึงท่านทรงถามว่า “ช่วงนี้เป็นอย่างบ้าง ดูท่าทางอ่อนเพลีย” “พอดีช่วงนี้ไม่ค่อยได้นอนเพค่ะ” “ทำไมหรือ” “ช่วงนี้ฝนตกหนักเลยทำให้ที่บ้านน้ำท่วมขังเพค่ะ ต้องคอยขนของหนีน้ำ” หลังจากนั้นท่านก็ไม่ได้ตรัสอะไรต่อ แต่คืนนั้นจู่ๆก็มีทหารมาที่บ้าน ตอนแรก ก็ตกใจว่าเราไปทำอะไรผิด แต่พอทหารบอกว่า”ในหลวงท่านให้มาช่วยวิดน้ำออกจากบ้าน” คืนนั้นจึงเป็นคืนแห่งความทรงจำของป้าและครอบครัวไปจนตลอดชีวิต ขณะที่เล่าเรื่องนี้เอิ้นอยากให้ทุกคนเห็นสีหน้าท่าทางของเพื่อนเอิ้นจริงๆ แต่พอเล่าจบก็อยากให้เห็นสีหน้าเอิ้นที่ทำให้อมยิ้มไปได้หลายชั่วโมง เช้าวันรุ่งขึ้นเอิ้นเดินผ่านหน้าร้านขายหนังสือข้างๆโรงอาหารอย่างเช่นทุกวัน แต่วันนี้เอิ้นหยุดมองดูหนังสือเล่มนึง เมื่อหยิบขึ้นมาแล้วแอบเปิดดูด้านในก็ได้พบภาพที่ประทับใจ และข้อความหลาย ๆ ข้อความที่บรรยายอยู่ใต้ภาพซึ่งเป็นคำพูดของเจ้าของภาพเอง เช่น “ เรามีชีวิตอย่างสนุกสนานแต่ก็มีระเบียบวินัย อย่างมีหลัก ไม่ใช่ระเบียบโบราณ “ “แม่ไม่เคยชมว่าเราฉลาดหรืองาม จะชมก็ต่อ เมื่อประพฤติตนดี ทำอะไรที่น่าสรรเสริญ เราจึงไม่เหลิง อาจขาดความมั่นใจในตัวเองบ้าง แต่ก็ทราบอยู่เสมอว่าเราเป็นใคร ด้วยการพูดให้เข้าใจนี้ทำให้เราเป็นผู้นับถือความจริง มีสัจจะ ไม่หลอกใคร และไม่หลอกตัวเอง” หรือ “ในครอบครัวเราความรับผิดชอบเป็นของที่ไม่ต้องคิด เป็นธรรมชาติ สิ่งที่สอนกันอันดับแรกคือ เราจะทำอะไรให้เมืองไทย….” หนังสือเล่มนี้คือ หนังสือมติชนฉบับพิเศษ 2466 – 2551 สมเด็จพระพี่นางเธอฯ พระผู้ทรงเป็นกำลังพระราชหฤทัย ในพลังแผ่นดิน เป็นหนังสือที่เอิ้นไม่รีรอที่จะซื้อแล้วเปิดอ่านซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า เพราะทุกครั้งที่ได้เปิดจะทำให้เอิ้นได้ตอกย้ำความจริงที่ว่า
“คนดีที่แท้จริง คือคนที่สามารถทำดีได้โดยไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นเห็นหรือรับรู้เพื่อให้ได้มาซึ่งคำเยินยอ เพราะสามารถทำดีได้กับทุกคน ทุกเวลา และเห็นคุณค่าจของความดีนี้ได้ด้วยตัวเอง”
อย่างที่สมเด็จท่านทำอะไรเพื่อพวกเราตั้งมากมายแต่ท่านไม่เคยบอกใคร ขณะที่พวกเราก็ไม่เคยลืม เพราะความดีเมื่อเกิดขึ้นแล้วไม่มีวันหายไปและเป็นสิ่งที่ยืนยงอยู่ได้แม้ร่างกายจะจากไปไกลเท่าไรก็ตาม