คุณฟังเป็นไหมคะ?
หมอถามคำถามนี้ไม่ได้คิดจะกวนอะไรนะคะ
เพราะก่อนหน้านี้หมอก็เคยคิดว่าตัวเองฟังเป็น
แถมคิดว่าฟังเก่งด้วย
แต่ก็อดแปลกใจไม่ได้ที่ตัวเองก็ยังมีปัญหาเรื่องการสื่อสารและความสัมพันธ์อยู่เรื่อย
แล้วยังแอบโทษคนอื่นว่าเป็นเพราะพวกเขานั่นแหละที่สื่อสารไม่รู้เรื่อง
จนมาเรียนจิตแพทย์
ความคิดว่าตัวเองฟังเป็น ทั้งที่ฟังไม่เป็นก็ส่งผลเสียต่อการร่ำเรียนมิใช่น้อย
เพราะฟังคนไข้แล้วก็พลอยรู้สึกเครียดและลงท้ายด้วยการแนะนำความคิดที่ตัวเองเห็นว่าดี
จนอาจารย์ออกปากเป็นห่วงว่า “หมอจะเรียนรอดมั้ย”
เพราะการฟังเป็นเครื่องมือสำคัญของจิตแพทย์ในการช่วยเหลือผู้คน
เช่นเดียวกับที่หมอผ่าตัดมีมีดผ่าตัดเป็นเครื่องมือ
อาจารย์ที่เป็นดั่งพ่อผู้ให้กำเนิดทางด้านความคิดและการเรียนรู้ทางด้านจิตใจของหมอคือ
รองศาสตราจารย์นายแพทย์ณรงค์ สุภัทรพันธ์ุ
ท่านเลยให้ข้อคิดกระตุกใจว่า เราจะสังเกตว่าเราฟังเป็นหรือไม่
ให้ลองสังเกตผลลัพธ์ของการสนทนาที่เกิดขึ้น เพราะ action = reaction
หมายความว่าเราทำอะไรลงไป สิ่งนั้นมักเด้งกลับมาเช่นนั้นเสมอ
และบางทีการเด้งกลับนั้นก็เร็วมากจนเราเองอาจไม่ทันรู้ตัว
และเมื่อเปรียบเทียบจากการทำงานของสมองก็พบว่าเป็นเช่นนั้น
เพราะเมื่อเราได้ยินหรือมองเห็น ประสาทสัมผัสจะส่งข้อมูลไปเทียบเคียงกับข้อมูลเก่าที่เราเคยมีมา
แล้วเกิดกระบวนการดึงข้อมูล วิเคราะห์ ตีความ ตัดสิน และแสดงออกอย่างรวดเร็ว
ดังนั้นเมื่อเราฟังใครบางคน บางครั้งอาจจะยังไม่ทันถึงหนึ่งนาที เราก็จะมีความคิดของตัวเองผุดขึ้นมาเต็มไปหมด เช่น ฉันรู้แล้ว ทำไมคิดอย่างนั้น ทำไมไม่ทำแบบนี้ ควรทำแบบนี้มากกว่านะ
และอยากจะสื่อสารออกไป หรือไม่ก็เดินหนีออกจากตรงนั้น เพราะไม่อย่างนั้นจะรู้สึกอึดอัด
และการสนทนาก็จบลงด้วยความรู้สึกติดค้าง
หากเป็นเช่นนั้น แสดงว่าเราแค่ได้ยินยังไม่ได้ฟัง
แล้วการฟังจริงๆคืออะไร
การฟังคือเมื่อเราได้ยินแล้วเราได้มีเวลาใคร่ครวญถึงประสบการณ์ของเรา
และมองเห็นความปรารถนาในการสื่อสารของอีกฝ่ายโดยปราศจากการตัดสิน
ซึ่งความสามารถในการฟังนั้นมี 4 ระดับด้วยกัน
เรื่องระดับความสามารถในการฟังถูกนำเสนอให้เข้าใจง่าย ด้วยการใช้สมการ Theory U โดย
อ็อตโต้ ชาเมอร์ – Otto Scharmer นักคิดชาวเยอรมันซึ่งมีความเชี่ยวชาญทางด้านเศรษฐศาสตร์และการจัดการ อ็อตโต้ ชาเมอร์ ได้ใช้เวลาทุ่มเทศึกษาในด้านกระบวนการเรียนรู้โดยการสัมภาษณ์นักคิด นักปฏิบัติชั้นนำของโลก
ชาเมอร์ สรุประดับการฟังออกเป็นออกเป็น 4 ระดับคือ
การฟังระดับที่ 1 (Downloading) การฟังแบบน้ำเต็มแก้ว คือ ฟังเพื่อยืนยันสิ่งที่ตัวเองเชื่อหรืออยากได้ยินเท่านั้น และตัดสินสิ่งที่ได้ยินแบบทันทีทันใด
การฟังระดับที่2 (Open mind) ฟังแบบเปิดความคิด คือ เมื่อได้ยินอะไรที่แตกต่างจากที่คิดไว้จะรู้สึกเอะใจและอยากเข้าใจสิ่งที่ได้ยิน
การฟังระดับที่3 (Open heart) ฟังแบบเปิดใจ คือ เมื่อได้ยินแล้วเกิดความเห็นอกเห็นใจคู่สนทนา
แม้ว่าจะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน
การฟังระดับที่ 4 (Open will) ฟังแบบเปิดปัญญา คือ เมื่อได้ยินแล้วเห็นคำตอบมากมายหลากหลาย เกิดทางเลือกและองค์ความรู้ใหม่บนความคิดหรือประสบการณ์ที่แตกต่าง
มาถึงตรงนี้จึงสรุปได้อย่างสั้น ๆ ง่าย ๆ อีกทีว่า
การฟังคือการได้ยินอย่างมีสติ
และนี่คือเคล็ดลับสำคัญของการฟังที่จิตแพทย์ต้องใช้ในการบำบัดเยียวยาผู้คน
มีคนจำนวนไม่น้อยที่เคยถามหมอว่า
“ฟังคนมีปัญหาทุกวันไม่เครียดหรือ ไม่เหนื่อยหรือ?”
คำตอบคือเมื่อไรฟังเป็นเราจะไม่เหนื่อย เพราะเมื่อไรที่เราฟังเป็น
ทุกครั้งที่ได้ฟังจะเป็นการเริ่มต้นของการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ
5 ทักษะการบริหารจิตใจ : https://youtu.be/oGo09xMlQf4
ติดตามบทความและผลงานเพิ่มเติมได้ที่ Facebook Page หมอเอิ้น พิยะดา Unlocking Happiness : https://bit.ly/3hI7Nlx